สถานีวัดอากาศมิตริบาห์( Mitribah) ตะวันตกเฉียงเหนือของคูเวตใกล้กับฐานทัพสหรัฐฯแคมป์บูห์ริง( Camp Buehring)สามารถวัดอุณหภูมิสูงสุดได้ถึง 54 องศาเซลเซียส(129 องศาฟาเรนไฮต์)ได้ในวันพฤหัสบดี(21 ก.ค)ที่ผ่านมา เชื่อเป็นอุณหภูมิที่สูงสุดในโลก
อินเตอร์เนชันแนลบิสซิเนสไทม์ส สื่อธุรกิจรายงานเมื่อวานนี้(24 ก.ค)ว่า ถึงแม้ว่าในขณะนี้การยืนยันอย่างเป็นทางการจากองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก WMO ยังไม่ออกมายืนยันเนื่องจากยังไม่ได้รับข้อมูลจากเจ้าหน้าที่คูเวต แต่ทว่านักอุตุนิยมวิทยาเชื่อว่า คูเวตได้ทำลายสถิติอุณหภูมิความร้อนที่สูงสุดที่เคยมีมาที่ 54 องศาเซลเซียส(129 องศาฟาเรนไฮต์)ได้ในวันพฤหัสบดี(21 ก.ค) ซึ่งวัดได้จากสถานีวัดอากาศมิตริบาห์( Mitribah) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของคูเวตใกล้กับฐานทัพสหรัฐฯแคมป์บูห์ริง( Camp Buehring)และอยู่ไม่ห่างจากพรมแดนทางใต้ติดอิรัก
ทั้งนี้สื่อธุรกิจชี้ว่า นอกจากเป็นที่ตั้งของฐานทัพอากาซสหรัฐฯแล้ว ยังเป็นพื้นที่ของชนพื้นเมือง “ชนเผ่าเบดูอิน” ที่เร่ร่อนอยู่กลางทะเลทรายมาหลายพันปี และสถานีวัดอากาศมิตริบาห์แห่งนี้เชื่อว่าไม่มีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ อ้างอิงจากการให้สัมภาษณ์ของโฆษกสำนักงานอุตุนิยมวิทยาอังกฤษให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนว่า “ไม่ดูเหมือนว่าสถานที่แห่งนี้จะมีเจ้าหน้าที่ประจำเพื่อสังเกตการณ์” และกล่าวต่อว่า “ข้อมูลอากาศจากสถานีแห่งนี้ได้ถูกส่งต่อไปยังสำนักงานใหญ่โดยตรง” และยังให้ความเห็นเพิ่มเติมต่อว่า “แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้จะไม่มีมนุษย์ประจำอยู่ แต่สถานีสำรวจอากาศแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นสถานีของWMO ที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งก่อนหน้านี้ในปี 2010 ดูเหมือนสถานีแห่งนี้จะมีปัญหาเรื่องอุปกรณ์เซนเซอร์ แต่ดูเหมือนจะได้รับการซ่อมแซมเรียบร้อยแล้ว”
อินเตอร์เนชันแนลบิสซิเนสไทม์สรายงานเพิ่มเติมต่อว่า อุณหภูมิสูงจัดทำลายสถิติเกิดขึ้นท่ามกลางคลื่นความร้อนได้พัดเข้าสู่ภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งพบว่ารัฐบาลแบกแดดได้สั่งให้ปิดสำนักงานหนีคลื่นความร้อน และประกาศให้เป็นวันหยุดแห่งชาติ ในขณะที่ชาวบ้านต่างหนีร้อนด้วยการลงแหวกว่ายในแม่น้ำไทกริส แต่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความร้อนมากที่สุดคือบรรดาผู้หนีภัยสงครามที่ต้องอาศัยอยู่ในเตนต์ผ้าใบกลางแดด ผจญทั้งความร้อนและการขาดน้ำดื่ม
สื่อธุรกิจรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้มีการบันทึกบนกินเนสบุ๊กสถิติความร้อนสูงสุดที่ 58 องศาเซลเซียส ถูกวัดได้ที่เอล อาซิเซีย( El Azizia) ลิเบีย แต่ทว่าทาง WMO ได้ประกาศไม่ยอมรับผลการบันทึกในครั้งนั้น โดยให้เหตุผลว่าสถิติที่วัดได้เกิดจากการบันทึกของนักสังเกตการณ์ที่ไม่ได้รับการฝึกฝน และเป็นที่น่าสนใจว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาวะโลกร้อนต่างออกมาคาดการณ์ว่า โลกของเราจะมีอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นเป็นลำดับ และภายในปี 2100 ภูมิภาคตะวันออกกลางจะมีอุณหภูมิที่สูงจนมนุษย์กระทั่งไม่สามารถอาศัยอยู่ได้อีกต่อไป
ทั้งนี้เป็นที่เชื่อกันว่า มนุษย์สามารถที่จะทนอยู่ในสภาพอุณหภูมิสูงถึง 76 องศาเซลเซียสในช่วงเวลาสั้นๆที่ขึ้นอยู่กับสภาพระดับความชื้นในอากาศ
ที่มาของบทความและรูปภาพประกอบ http://www.manager.co.th