"สถานการณ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลกจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทางเจือจางลง ไม่เหมือนกับก๊าซอื่นๆ ที่สามารถทำให้ลดได้สิ่งเดียวที่ทั้งโลกจะช่วยกันได้ คือ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้น้อยล"ข้อเท็จจริงของ ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช ผู้อำนวยการสำนักงานประสานการจัดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกล่าวไว้ในงานสัมนาเรื่อง"สรุปผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 22 (COP 22) และร่างแผนปฏิบัติการเตรียมความพร้อมของประเทศไทยในการดำเนินความร่วมมือภายใต้กรอบความตกลงปารีส" เมื่อเร็วๆ นี้
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มมากขึ้นส่งผลกรทบต่อสภาพภูมิอากาศของโกล และส่งผลต่อการดำรงชีวิตในหลายด้าน ที่ผ่านมาทั่วโลกไม่นิ่งนอนใจได้ร่วมกันหาทางร่วมมือกันแก้ปัญหาก๊าซเรือนกระจกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการร่างอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศขึ้น เมื่อปี พ.ศ.2535 ใช้จริงสองปีถัดมา เกิดเป็นพิธีสารต่างๆ เช่นพิธีสารเกียวโต เป็นสนธิสัญญาเกี่ยวกับภูมิอากาศของโลกที่มีเป้าหมายเดียวกัน คือ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
พิธีสารเกียวโตถือเป็นเครื่องมือหลักที่รัฐบาลทั่วโลกต้องใช้เพื่อจัดการกับภาวะโลกร้อน พูดให้ชัด พิธีสารฉบับนี้บังคัลให้ประเทศที่พัฒนาแล้วทั่วโลกลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง แต่สถานการณ์ก็ยังไม่คลี่คลายดี แม้จะมีการร่วมมือกันหลายรูปแบบ นอกจากนี้ ประเทศไทยเองก็ได้เข้าร่วมประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาฯ ที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส เมื่อธันวาคม 2558 และไทยได้ยอมรับความตกลงของปารีสเดือนเมษายน 2559 ซึ่งถือเป็นกรอบล่าสุดในการแก้ปัญหาโลกร้อน ซึ่งยังมีอีก 175 ประเทศ ลงนามข้อตกลงนี้ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ไทยแสดงเจตจำนงที่จะลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ร้อยละ 20-25 ภายในปีพ.ศ.2573 โดยนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ พร้อมทั้งจะลดการใช้พลังงานฟอสซิล ส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยกระทรวงพลังงานจะดำเนินงานเป็นหลัก
ดร.อนุสิทธิ์ ชินวรรโณ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีและผู้ทรงคุณวุฒิด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ เปิดเผยที่ประชุมว่า กรอบความร่วมมือของประชาคมโลกภายใต้ข้อตกลงของปารีสเมษายน 2559 มีกรอบระยะยาวในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ร่วมกันอยู่ 3 ประการ คือ อย่างแรก ต้องควบคุมอุณหภูมิเพิ่มขึ้นเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส หรือไม่ให้เกิน 1.5 องศา เซลเซียส สอง เพิ่มความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับปัจจุบัน ให้แต่ละประเทศสพัฒนาเป็นประเทศที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ และสามทำให้เกิดเงินทุนหมุนเวียนที่สอดคล้องกัวแนวทางและสร้างความสามารถในการฟื้นตัวจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยที่ประเทศที่พัฒนาแล้วจะต้องเป็นผู้นำในการทำตามข้อตกลงนี้ ส่วนประเทศกำลังพัฒนาก็ต้องทำด้วยเช่นกัน ที่ผ่านมา มีการหาทางแก้ทุกอย่าง แต่มีปัญหาเมื่อประเทศที่พัฒนาแล้วหรือประเทศอุตสาหกรรมใหญ่ๆ ถอนตัวออกจากความร่วมมือจนต้องมาร่วมกันคิดหาทางออกใหม่
"ถ้าจะพัฒนาประเทศต้องเอาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การลดก๊าซเรือนกระจก เข้ามาในการกำหนดนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของชาติ ในเมื่อการดำเนินงานของประชาคมโลกเข้มข้นขึ้น ประเทศไทยก็ต้องเข้มข้นด้วย ไทยได้รับการจัดอันดับที่ 9 ใน 10 ประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอกาศต้องตระหนักและเริ่มคิดแล้วว่าจะดำเนินการอย่างไร จะทำเกษตรแบบไหนให้ปล่อยก๊าซน้อย แผนปฏิบัติการคือทางเลือก เราต้องเลือกนโยบายในการพัฒนาที่มีผลกระทบต่อทุกภาคส่วนน้อยที่สุด" ดร.อนุสนธิ์ กล่าว
ด้านดร.บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ ผู้อำนวยการสถาบันธรรมรัฐเพื่อพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมกล่าวว่า ไทยจะตั้งกำแพงไม่ลดก๊าซเรือนกระจก เพราะไทยเป็นกลุ่มประเทศนอกภาคผนวกที่ 1 กำลังพัฒนาไม่มีพันธกรณีบังคับต้องลดปล่อยก๊าซ เพราะขณะนี้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปมาก มีแผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รัฐบาล คสช. เห็นขอบไปแล้ว แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ร่างยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ล้วนแต่มีสาระสำคัญเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั้งสิ้น สาระสำคัญคือ การนำพาประเทศไปสู่การมีภูมคุ้มกันและเป็นประเทศปล่อยคาร์บอนต่ำตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน การบริโภคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีความมั่นคงด้านอาหาร น้ำ และพลังงาน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นการสร้างหลักประกันว่าจะนำไปสู่การดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ไม่ให้ถูกเปลี่ยนแปลงโดยง่ายจากทางการเมือง
"รายงานปี 2016 อุณหภูมิโลกในปี ค.ศ.2100 จะเพิ่มขึ้น 3.2 องศาเซลเซียส แล้วยังมีรายงานของไอพีซีซี ถ้าโลกร้อนขึ้น 1.5 องศา จะเกิดอะไรขึ้น จะเห็นความน่าเป็นห่วงที่มากขึ้นไปกว่าปัจจุบัน และจำเป็นต้องมีการทบทวนแผน ตลอดจนยุทธศาสตร์ชาติที่ต้องมีการเปลี่ยนและทบทวน ให้มีความเข้มข้นยิ่งขึ้น ซึ่งยุทธศาสตร์ชาติถ่ายโอนมาสู่แผนฉบับที่ 12 เพื่อดำเนินการใน 5 ปีแรก เป้าหมายเติบโตอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 7% ตามแนวทางลดปล่อยก๊าซในประเทศกำลังพัฒนาที่ยังให้พื้นที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาต่อไป หรือนามา ตัวเสริมยังมียุทธศาสตร์ 15 ปี ค.ศ.2016-2030 ซึ่ง 1 ใน 30 เป้าหมายคือลดก๊าซ 13.1% กำหนดโดยคณะกรรมการพัฒนาที่ยั่งยืน มีนายกฯเป็นประธาน" ดร.บัณฑูร ย้ำ
สำหรับข้อตกลงของปารีสนั้น ผอ.สถาบันธรรมรัฐฯ กล่าวว่า เป็นกรอบที่ทุกประเทศต้องทำในฐานะภาคี มีการกำหนดเป้าหมายลดก๊าซด้วยตัวเอง ทบทวนเป้าหมายทุก 5 ปี เพื่อให้บรรลุรวมถึงทำยุทธศาสตร์การพัฒนาคาร์บอนต่ำ ข้อที่เข้มข้นคือ แต่ละประเทศเมื่อทำแล้วต้องจัดทำรายงานออกมาเผยแพร่เพื่อความโปร่งใส และมีกลไกทบทวนของผู้เชี่ยวชาญ ข้อตกลงปารีสไม่มีบทลงโทษ แต่ออกแบบกลไกติดตามที่จะกระตุ้นให้ประเทศดำเนินงานอย่างจริงจัง ก่อนนำไปรวมผลกับทุกประเทศเพื่อบรรลุเป้าหมายระยะยาว ขณะนี้ความตกลงของโลกมี 3 ฉบับแล้ว ส่งผลต่อการตื่นตัวของอาเซียน นำมาสู่ความจำเป็นที่เราต้องทำแผนปฏิบัติการเตรียมความพร้อมรับข้อตกลงปารีสนอกเหนือจากแผนที่มีอยู่ในปัจจุบัน
"จากการประชุมในหลายเวทีเราจะนำข้อตกลงปารีสมาใช้ประโยชน์กับประเทศไทยเพื่อปรับปรุงและเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการดูการบ้านไทยต้องทำ ขอความร่วมมือจาก 50 หน่วยงาน เตรียมแผนในมือนำมาสู่การคัดกรองและยกร่างแผนปฏิบัติการ กำหนดแผนปฏิบัติ ปิดจุดอ่อน แก้ไขปัญหาอุปสรรคต่างๆ ช่วงปีแรกๆ อะไรที่เป็นต้นทุนต่ำ มีประสิทธิภาพสูงควรทำก่อน จากการวิเคราะห์เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไม่ใช่มิติด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเดียว แต่สามารถสร้างโอกาสในการแข่งขันทางการค้า ไม่ถูกกีดกันทางการค้า และเห็นความเป็นไปได้ในการสร้งรายได้ รักษาตลาดการส่งออก การเตรียมพร้อมรับข้อตกลงปารีสต้องมีสูตรทางเลือกเพื่อทางรอด มีเส้นทางสีเขียวเดินระยะยาว 13 ปีเพื่อเก็บเกี่ยวเป้าหมายรายงทางแต่ละขั้นเพื่อบรรลุสังคมคาร์บอนต่ำ แผนปฏิบัติต้องยึดโยงกับข้อตกลงปารีสและเพิ่มเติมจากแผนแม่บท"
หันกลับมามองสถานการณ์ก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทย ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช ผู้อำนวยการสำนักงานประสานการจัดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิ อากาศ เผยว่า ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในไทยจากข้อมูลปี พ.ศ.2554 มีปริมาณการปล่อย 305.52ล้านตันคาร์บอนไดออกไซต์ โดยมาจากหลายแหล่ง โดยเฉพาะภาคพลังงานปล่อยเยอะสุด 72% เพราะว่าต้องใช้ไฟฟ้าแจกจ่ายไปตามบ้านเรือนบ้าง ขนส่งบ้าง รองลงมา ภาคเกษตร 17% จากกระบวนการเพาะปลูก ไม่ว่าจะเป็นปลูกข้าว ทำนา ทำให้เศษหญ้าเศษฟางหมักหมมเกิดก๊าซมีเทนออกมา รวมถึงการใช้ปุ๋ยซึ่งมีไนโตรเจน ทั้งสองชนิดนี้เป็นก๊าซเรือนกระจก ถัดมาภาคอุตสาหกรรม 5% แล้วก็ของเสีย 3.74% แต่ในปี 2557 พบว่าประเทศไทยสามารถลดก๊าซเรือนกระจกจากภาคพลังงานได้ 37.47 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซต์เทียบเท่า หรือคิดเป็นร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับกรณีปกติในปี พ.ศ.2563 ส่วนไทยหลังจากยอมรับความตกลงปารีสก็มีการร่างแผนในการพัฒนาแผนที่นำทางลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยให้เป็นไปตามเป้าหมายปี พ.ศ.2573
ทั้งนี้ ดร.พิรุณกล่าวต่อว่า เมื่อมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไม่มีทางที่จะสลายตัวไปเหมือนก๊าซอื่น ทำให้โลกเราร้อนขึ้น ส่งผลให้สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ถ้าถามถึงเรื่องอุณหภูมิก็ขึ้นๆ ลงๆ ไม่คงที่ แต่ที่เห็นชัดจากที่ผ่านมา ฤดูร้อนยาวนานกว่าเดิม ทั่วโลกเองเริ่มตื่นตัวว่าเกิดโลกร้อนเมื่อตอนเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมที่มีโรงไฟฟ้า โรงถ่านหิน มีอัตราการเผาไหม้เชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น อุณหภูมิต้องเพิ่มขึ้นเป็นธรรมดา ยิ่งประเทศที่พัฒนาแล้วยิ่งมีส่วนในการปล่อยก๊าซะเยอะ ดังนั้น จึงต้องมาคุยร่วมกันในแต่ละประเทศว่าจะช่วยอย่างไร แต่ที่แน่ๆ ทั่วโลกก็ยอมรับในกรอบของปารีส หลังจากยอมรับความตกลงมาก็มีการ่างแผนในการพัฒนาแผนที่นำทางลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศให้เป็นไปตามเป้าหมายปี พ.ศ.2573
ดร.พิรุณ กล่าวว่า ตอนนี้ได้ทำแผนออกมาแล้วหลายชุด มีการประชุมไปแล้วหลายครั้ง ผลออกมาแล้วก็ได้จำแนกร่างให้แต่ละหน่วยงานเริ่มดำเนินการตามสาขาต่างๆเช่น เรื่องของพลังงาน การขนส่งอุตสาหกรรม ของเสีย จะมีการประชุมคิกออฟอีกครั้งวันที่ 20 มกราคมพศ.2560 จากนั้นก็ตั้งแผนกันว่า ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่จะลดลงในอนาคตกำหนดไว้ 111 ล้านตัน ถ้าเป็นไปได้ก็จะทำตัวเลขให้มากกว่านี้ แต่ก็ต้องยอมรับในการเติบโตของประเทศต้องค่อยๆ ควบคุมไปและประชาชนต้องปรับตัวตามด้วย
"การจะลดให้ได้ตามที่กำหนดต้องอยู่ที่พฤติกรรมของเราช่วยกันประหยัดพลังงาน ต้องสร้างขีดความสามารถในการรองรับการปรับตัวด้วย เช่น ภาคเกษตร ถ้าฝนไม่ตกตามฤดูกาลต้องบริหารจัดการน้ำให้ดีขึ้น หรือถ้าทำนาไม่ด้ควรจะปลูกพืชอย่างอื่นแทน หรือพัฒนาสายพันธุ์ให้ทนแล้งมากขึ้น นี่คือการปรับตัวในอนาคตของภาคเกษตรเพื่อให้กิจกรรมดำรงอยู่มีภูมิต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประชาคมโลก ในประเทศต่างๆ จะดูเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวควบคู่กันไป ถ้าปรับตัวอย่างเดียว แต่ปล่อยก๊าซเหมือนเดิม ปรับยังไงก็ปรับไม่ไหว" ดร.พิรุณกล่าวทิ้งท้าย
ที่มาของบทความ : http://www.ryt9.com
ที่มาของรูปภาพประกอบ : https://sootinclaimon.wordpress.com