เมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา คณะทำงานของกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยทีมสื่อมวลชนไทยได้เดินทางไปยังกรุงอัสตานา สาธารณรัฐคาซัคสถาน เพื่อร่วมพิธีเปิดอาคารศาลาไทยอย่างเป็นทางการในงานอินเตอร์เนชั่นแนล เอ็กซ์โป 2017 ซึ่งธีมการจัดงานของปีนี้คือ พลังงานแห่งอนาคต หรือ Future Energy
สำหรับวัตถุประสงค์หลักของการจัดงานนี้ ก็เพื่อส่งเสริมให้ทั่วโลกได้ตระหนักถึงความจำเป็นในการพัฒนานโยบายและเทคโนโลยีด้านพลังงานที่มีความยั่งยืนต่อไปในอนาคต พร้อมผลักดันและแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ของทุกภาคส่วนในการวิจัยและการใช้เทคโนโลยีพลังงานสะอาด
โดยมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 115 ประเทศจากทั่วโลก การจัดงานครั้งนี้ คาซัคสถานประเทศเจ้าภาพได้ลงทุนเนรมิตอาคารใหม่ทั้งหมดบนที่กว่า 1,087.5 ไร่ ด้วยงบประมาณการก่อสร้างถึง 18,500 ล้านบาท เพื่อรองรับการจัดงานระหว่างวันที่ 10 มิ.ย.-10 ก.ย.2560 รวมเวลาทั้งสิ้น 3 เดือน ภายในพื้นที่ประกอบด้วยส่วนของพื้นที่จัดงานที่มีลักษณะคล้ายหยดน้ำและกังหันลม บ่งบอกถึงพลังงานทดแทน พลังงานสะอาด นอกจากนี้ยังมีส่วนของโรงแรมที่พักเพื่อนักท่องเที่ยวและผู้ร่วมงาน ศูนย์การค้าขนาดยักษ์ที่ขึ้นชื่อว่ามีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียกลาง
เส้นทางสายไหมแห่งเอเชียกลาง
ทั้งนี้ คาซัคสถานหวังเปิดตัวกรุงอัสตานา เมืองหลวงแห่งใหม่ต่อสายตาชาวโลก ที่เพิ่งสถาปนาขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2541 ที่ผ่านมา จากเดิมนั้นเมืองหลวงตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศชื่อว่า อัลมาตี แต่เดิมคาซัคสถานติดอยู่ใน 1 ใน 15 ประเทศของสหภาพโซเวียต ก่อนจะได้รับสิทธิ์ให้แยกตัวออกมา ซึ่งพื้นที่ของคาซัคสถานนั้นมีความกว้างใหญ่ไพศาลเป็นอันดับ 9 ของโลก และในอดีตเรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมแห่งเอเชียกลาง
โดยเส้นทางสายไหม (Silk Road หรือ Silk Route) เป็นชุดเส้นทางการส่งการค้าและวัฒนธรรมผ่านภูมิภาคของทวีปเอเชียที่เชื่อมตะวันตกและตะวันออก โดยการเชื่อมโยงของพ่อค้า ผู้แสวงบุญ นักบวช ทหาร ชนเร่ร่อนและผู้อาศัยในเมืองจากจีนและอินเดียไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเป็นเวลานานในอดีต
ด้วยจุดแข็งนี้ ประกอบกับพื้นที่ของประเทศซึ่งได้เปรียบในการพัฒนาเมืองการค้าและเศรษฐกิจนั้น ทำให้คาซัคสถานเร่งสร้างอาณาจักร เพิ่มประชากร และพัฒนาคนเพื่อเป็นอนาคตของประเทศ โดยตั้งเป้าจะขึ้นเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมและเศรษฐกิจในเอเชียกลาง ที่ประกอบด้วยอีก 4 ประเทศ คือ อุซเบกิสถาน เติร์กเมนิสถาน ทาจิกิสถาน และคีร์กีซสถาน
ก้าวสู่เมืองอนาคตด้วยพลังงานสะอาด
คาซัคสถานมีรายได้หลักของประเทศมาจากการทำอุตสาหกรรมพลังงานและแร่ธาตุ การเป็นแหล่งพลังงานน้ำมันเพื่อส่งขายไปยังประเทศต่างๆ ทำให้ประเทศสามารถสร้างเมืองและสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับประชากรที่เพิ่มขึ้น สร้างความเป็นอยู่กินดีมีสุข ซึ่งประชาชนในประเทศ 95% ถูกขนานนามว่าเป็นกลุ่มคนรวย และอีก 5% คือคนที่รวยน้อยกว่า
แต่ทั้งนี้ การใช้พลังงานธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัดนั้น ทำให้คาซัคสถานมีการวางแผนการใช้พลังงานในอนาคตใหม่ ให้ความสนใจกับพลังงานทดแทนมากขึ้น ซึ่งในงานอัสตานา เอ็กซ์โป 2017 นี้ ธีมงานค่อนข้างชัดเจนว่า ต้องการรณรงค์ให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกหันมาใส่ใจพลังงานสะอาดมากขึ้น โดยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Reducing CO2 Emissions) และเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้พลังงานในการดำเนินชีวิต (Living Energy Efficiency) รวมถึงตระหนักถึงพลังงานเพื่อมวลมนุษยชาติ (Energy for All)
ไทยแลนด์พาวิลเลี่ยน@อัสตานา
สำหรับประเทศไทยนั้น การจัดแสดงอาคารศาลาไทยที่กรุงอัสตานา ค่อนข้างเรียกความสนใจจากผู้เข้าชมได้ไม่น้อยทีเดียว ด้วยมีคนหลายชาติรู้จักความเป็นไทยผ่านการท่องเที่ยวมาบ้างแล้ว ในการจัดแสดงพลังงานแห่งอนาคตครั้งนี้ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่ผู้เยี่ยมชมจะทำความเข้าใจ ด้วยการนำเสนอที่ง่ายต่อความเข้าใจ
โดยอาคารศาลาไทย หรือไทยแลนด์พาวิลเลี่ยน (Thailand Pavilion) จัดขึ้นในพื้นที่อาคารที่ประเทศเจ้าภาพจัดไว้ให้ 974.67 ตารางเมตร ประกอบด้วยส่วนแสดง นิทรรศการชั้น 1 ขนาด 740.3 ตารางเมตร และพื้นที่เชิงพาณิชย์ ชั้น 2 ขนาด 234.37 เมตร ซึ่งในปีนี้สร้างสรรค์ภายใต้แนวคิด “การพัฒนาด้านพลังงานชีวภาพเพื่อมนุษยชาติ" (Bioenergy for All) เพื่อแสดงศักยภาพที่โดดเด่นในการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติของไทยที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานชีวภาพและความก้าวหน้าในการพัฒนาพลังงานทดแทน
สำหรับอาคารศาลาไทย ต้องการนำเสนอในรูปแบบการเรียนรู้ควบคู่ความสนุก หรือ EDUTAINMENT ผ่าน 3 ห้องนิทรรศการหลักในชั้นที่ 1 ได้แก่ 1.ห้องสัมผัสวิถีความเป็นไทย (Our Ways, Our Thai) เอกลักษณ์ความงดงามของธรรมชาติ และวัฒนธรรม ควบคู่กับการพัฒนาด้านพลังงานทดแทนมีการแสดงทางวัฒนธรรมไทยสลับผลัดเปลี่ยนตลอดระยะเวลาการจัดงาน
ส่วนห้องที่ 2 จะสรุปเรื่องราวแนวคิดของอาคารศาลาไทยในรูปแบบเทคนิค 4 มิติ (Farming the Future Energy)บอกเล่าเรื่องราวพลังงานของไทย และพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระองค์ผู้ทรงเป็น “พระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย” โดยภาพยนตร์นี้จะเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวในห้องทดลองสุดมหัศจรรย์ที่จะเป็นจุดกำเนิดของพลังงานแห่งอนาคต ซึ่งจะผนวกกับหุ่นยนต์ Animatronic ชื่อ น้องพลัง มาสคอตของไทย
และห้องที่ 3 เป็นการนำเสนอพลังงานชีวภาพ และชีวมวลจากพลังงาน 9 ชนิด (Energy Creation Lab ) ประกอบด้วย พลังงานจากพืชพลังงานและมูลสัตว์ น้ำเสีย ได้แก่ อ้อย ยูคาลิปตัส ยางพารา หญ้าโตเร็ว ข้าว ข้าวโพด มูลสัตว์ มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน นอกจากนี้ยังมีการสาธิต และจัดแสดงสินค้าหัตถกรรมจากท้องถิ่นไทย การท่องเที่ยว และข้อมูลการค้าการลงทุนจากหน่วยงานต่างๆ ที่เข้าร่วมในงาน
สำหรับการจัดแสดงนิทรรศการชั้นที่ 2 เปิดให้ผู้เข้าชมเลือกซื้อสินค้า อาหารไทย เครื่องดื่ม และทดลองรับนวดแผนไทย พร้อมกันนี้ยังเปิดพื้นที่สำหรับภาคธุรกิจไทยผ่านการจับคู่ธุรกิจ (Business Matching และ Investment Clinic) ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้นำคณะนักธุรกิจจากไทย จำนวน 20 ราย เข้าร่วมกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ พร้อมทั้งการจัดแสดงผลิตภัณฑ์สินค้าอาหารฮาลาล
ในส่วนของกระทรวงวัฒนธรรมได้ร่วมกับสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ สำนักสังคีตกรมศิลปากร และคณะ นาฏยศาลาหุ่นละครเล็ก (โจหลุยส์) นำการแสดงทางวัฒนธรรมไปร่วมโชว์บนเวทีกลาง จำนวน 26 ชุด การแสดง ได้แก่ การแสดงโขน ตอน พระรามรบทศกัณฐ์, การแสดงดาบ 2 มือ, การรำมโนราห์ การฟ้อนต่างๆ เป็นต้น พร้อมทั้งการสาธิตทำเครื่องแต่งกายและนุ่งหุ่มแบบไทย การสาธิตหุ่นกระบอก และหุ่นละครเล็ก เป็นต้น
ขณะที่กรมการพัฒนาชุมชนจัดให้มีการสาธิตหัถกรรมไทยและการแสดงสินค้าผลิตภัณฑ์ (OTOP), การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจัดให้มีการสาธิตการเพนต์ร่ม การแกะสลักผลไม้ และการนวดแผนไทย เป็นต้น ติดตามความเคลื่อนไหวและร่วมภูมิใจกับไทยแลนด์พาวิลเลี่ยนผ่าน www.thailandpavilion2017.com
พลังงานชีวภาพเพื่อมนุษยชาติ
พลเอกสุรศักดิ์ ศรีศักดิ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า การจัดงานนิทรรศการโลกครั้งนี้ คาดว่ามีผู้เข้าร่วมชมจากทั่วโลกไม่น้อยกว่า 500,000 คน จึงเป็นส่วนหนึ่งที่จะประกาศให้นานาประเทศได้รู้ว่าไทยมีการใช้พลังงานทดแทนอย่างไรบ้าง อีกทั้งการนำพลังงานทดแทนที่มาจากพืชเศรษฐกิจของประเทศนั้น ด้วยมองว่าพื้นที่ของคาซัคสถานมีความกว้างขวางและสามารถปลูกพืชไร่บางชนิดได้ การได้มาเผยแพร่ความรู้ที่ไทยมีจึงอาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้พื้นที่นี้ได้
ทั้งนี้ เพื่อให้เห็นการพัฒนาพลังงานทดแทนของรัฐบาลไทย การใช้และการผลิตพลังงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดจากผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งเป็นการช่วยยกระดับราคาสินค้าทางการเกษตรและเกิดการพัฒนาพลังงานที่เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่ของชุมชน
นอกจากนี้ ยังสอดรับการแสดงเจตนารมณ์ของรัฐบาลไทยในที่ประชุม COP21 ที่กรุงปารีส เมื่อปี พ.ศ.2558 โดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ร่วมผลักดันให้เกิดข้อตกลงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฉบับใหม่บรรลุผลสัมฤทธิ์ โดยไทยจะจัดทำแผนปฏิบัติการณ์เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 20-25% ภายในปี พ.ศ.2573 โดยมุ่งเน้นการพัฒนาการใช้พลังงานทดแทน เนื่องจากแผนการพัฒนาพลังงานของไทย หรือ PDP 2015 ได้กำหนดที่จะให้มีการใช้พลังงานทดแทนที่มาจากฟอสซิล (Fossil) ถึง 30% ภายในปี พ.ศ.2579 นับว่ารัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญต่อเจตนารมณ์ของโลกอย่างแท้จริง.
ที่มาของบทความและรูปภาพประกอบ: http://www.thaipost.net